|
|||||||||||||||||||||
|
|
||||||||||||||||||||
|
|
|
|||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||
เชื้อราไตรโคเดอร์มา
ข้อควรระวังในการใช้เชื้อไตรโคเดอร์มา
|
|||||||||||||||||||||
เตือนเกษตรกร!!
เฝ้าระวังโรคใบด่างมันสำปะหลัง
โรคใบด่างมันสำปะหลัง มีสาเหตุจากเชื้อไวรัส Sri Lankan cassava mosaic virus (SLCMV) โดยมีแมลงหวี่ขาวยาสูบ Bemisia tabaci (Gennadius) เป็นแมลงพาหะในการถ่ายทอดโรค และเชื้อไวรัส (SLCMV) สามารถติดไปกับท่อนพันธุ์มันสำปะหลังได้ ลักษณะอาการของโรค พืชจะแสดงอาการใบด่าง เหลือง ลดรูป และยอดที่แตกใหม่ จะแสดงอาการด่าง เหลือง รุนแรง ลำต้นแคระแกรน ไม่มีการเจริญเติบโต หรือมีการเจริญเติบโตน้อย สร้างความเสียหายต่อผลผลิต 80-100 เปอร์เซ็นต์ ในกรณีที่มีการระบาดรุนแรง วิธีการป้องกันและกำจัด ๑. ห้ามนำเข้าท่อนพันธุ์หรือส่วนขยายพันธุ์ของมันสำปะหลัง ยกเว้นมันเส้น และหัวมันสดจากประเทศ ที่มีรายงานพบการระบาดของโรคไวรัสใบด่างมันสำปะหลัง ซึ่งเป็นศัตรูพืชกักกันตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดศัตรูพืชเป็นสิ่งต้องห้ามตาม พ.ร.บ.กักพืช พ.ศ. ๒๕๐๗ (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๕๐ ทั้งนี้จึงควรงดการนำเข้าท่อนพันธุ์ หรือส่วนขยายพันธุ์จากประเทศเวียดนาม กัมพูชาและประเทศที่มีรายงานการระบาด ๒. สำรวจแปลงมันสำปะหลังอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ๓. ใช้พันธุ์ที่ปลอดโรค หรือจากต้นพันธุ์มันสำปะหลังที่ไม่แสดงอาการของโรค ๔. หากพบต้นมันสำปะหลังแสดงอาการใบด่าง ให้ขุดหรือถอนต้นที่เป็นโรคไปเผาทำลายนอกแปลง และแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตรและสำนักงานเกษตรอำเภอในพื้นที่ใกล้เคียงทันที ๕. ปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อป้องกันกำจัดเชื้อโรคจากต้นมันสำปะหลังที่เป็นโรคตกค้างอยู่ในแปลง หลีกเลี่ยงการ ขนย้ายท่อนพันธุ์จากแหล่งที่มีโรคไปสู่แหล่งที่ยังไม่เคยมีการระบาด ๖. กำจัด หรือหลีกเลี่ยงการปลูกพืชอาศัยของโรคใบด่างมันสำปะหลัง เช่น สบู่ดำ ละหุ่ง และพืชอาศัยของ แมลงพาหะ เช่น กระเพรา โหระพา ผักชีฝรั่ง พริก มะเขือเปราะ มันฝรั่ง และพืชตระกูลถั่ว ๗. กำจัดแมลงพาหะ เช่น แมลงหวี่ขาวยาสูบ
|
|||||||||||||||||||||
กำจัดเพลี้ยอ่อน ด้วยวิธีธรรมชาติ
การกำจัดด้วยวิธีธรรมชาติคือไม่ต้องใช้สารเคมี เกษตรกรสามารถทำได้ด้วยการใช้ผงซักฟอก โดยใช้ความเข้มข้น 5 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นไปยังบริเวณที่พบเพลี้ยอ่อน ในช่วงเช้าหรือเย็น และใช้เหยื่อกำจัดมด หรือกำจัดเพลี้ยอ่อนและมด โดยใช้เชื้อรา บิวเวอร์เรีย 250 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นในช่วงเช้าหรือเย็นควบคู่กัน
|
|||||||||||||||||||||
เตือนเกษตรกร เฝ้าระวังการระบาดเพลี้ยจั๊กจั่นฝ้าย สำนักงานเกษตรอำเภอศรีสำโรงแจ้งประชาสัมพันธ์ ให้เฝ้าระวังเพลี้ยจักจั่นฝ้าย หรือ เพลี้ยจักจั่นเขียว Amrasca biguttula เป็นแมลงศัตรูพืชที่สำคัญ เป็นแมลงศัตรูพืชที่ปรับตัวเก่ง ปัจจุบันเพลี้ยจักจั่นได้ปรับตัวจนทำให้มีพืชอาหารใหม่ๆเพิ่มมากขึ้น ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยของเพลี้ยจักจั่นฝ้าย จะทำลายตั้งแต่ผลเริ่มงอกจนกระทั่งเก็บผลผลิต โดยจะระบาดมากในช่วงต้นฤดู และเมื่อฝนทิ้งช่วงนาน ๆ ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบส้มโอ พร้อมกับปล่อยสารบางชนิดทำให้ขอบใบไม้ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ใบไม้จะโค้งงอ แล้วเปลี่ยนเป็นสีม่วงและแดงในที่สุด และมีลักษณะการทำลายเฉพาะตัว คือทำให้ใบพืช มีอาการไหม้ แห้งกรอบ ที่เรียกว่า Hopper burn ซึ่งเกิดจากการที่เพลี้ยปล่อยสารพิษลงบนใบ การป้องกันและกำจัด พ่นด้วยแอมเพล อัตรา 5-10 กรัม หรือคูซั่นเพสท์ อัตรา 30ซีซี หรือ โอโซพรีน อัตรา 30 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
|
|||||||||||||||||||||
|
สำนักงานเกษตรอำเภอศรีสำโรง
หมู่ที่ 5 ถนนจรดวิถีถ่อง
ตำบลคลองตาล อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย 64120
E - mail
Address ndoae
01155@gmail.com
ผู้ดูแลระบบ - นายภูเบศวร์ กุลศิริ -